แนะนำวิธีกินวิตามินต้านโรคเบาหวาน สำหรับมือใหม่

แนะนำวิธีกินวิตามินต้านโรคเบาหวาน สำหรับมือใหม่

วิตามินต้านโรคเบาหวาน สำหรับมือใหม่

หลายคนคงทราบดีว่า อาหาร คือหนึ่งในปัจจัยในการเกิด/ต้านโรคเรื้อรังต่างๆ มากมาย วันนี้เราจะมาแนะนำวิตามิน สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน พร้อมเทคนิคการกิน วิตามินต้านโรคเบาหวาน ควบคู่ไปกับการรักษาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลองมาดูกันเลย

 

รู้จักวิตามินกันก่อน


อาจารย์สาทิส  อินทรกำแหง  กูรูต้นตำรับชีวจิตกล่าวว่า วิตามินที่ร่างกายได้รับส่วนใหญ่มาจากอาหาร ที่เรากินเข้าไป และส่วนหนึ่งร่างกายสังเคราะห์ขึ้นเอง มีหน้าที่ช่วยให้ระบบต่างๆในร่างกายทำงานได้อย่างถูกต้อง และช่วยให้ดำรงชีวิตอยู่ได้

ความสำคัญของวิตามินนั้น เมื่อใช้เป็นยาจะต้องรู้จักว่าควรใช้ในปริมาณเท่าไร (ส่วนมากต้องใช้ในปริมาณหรือโดสสูง) ต้องรู้ว่าตัวไหนส่งเสริมกันและตัวไหนเป็นศัตรูกัน ดังนั้น อย่าสุ่มสี่สุ่มห้าไปหามากินเองหรือเชื่อแต่คำโฆษณาอย่างเดียว เพราะอาจทำให้เกิดอันตราย โดยเฉพาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่อาจจะไปกระตุ้นระดับน้ำตาล ความดันโลหิต ให้สูงขึ้น จนเป็นอันตรายต่อร่างกายได้

เมื่อรู้จักความสำคัญของวิตามินกันแล้ว ก็จะขอพาทุกท่านเข้าสู่โลกของวิตามินพิชิตโรคเบาหวาน ซึ่งเป็นสูตรจากอาจารย์สาทิสกันเลย

 

วิตามินบีคอมเพล็กซ์ ต้านเบาหวาน

 

 

วิตามินบีคอมเพล็กซ์(B Complex) หมายถึง วิตามินบีทุกชนิด ได้แก่ บี1 บี2 บี3 บี6 บี12 และส่วนประกอบ อย่างบี5 ไบโอติน (Biotin) โคลีน (Choline) อินอซิทอล (Inositol) กรดโฟลิก (Folic Acid) และพาบา (PABA) ที่นำมาผสมกัน

 

ประโยชน์

– ช่วยในการย่อยหรือแตกตัวของคาร์โบไฮเดรตให้กลายเป็นกลูโคส

– ช่วยในการย่อยหรือแตกตัวของโปรตีนและไขมัน

– ช่วยให้กล้ามเนื้อในกระเพาะอาหารและลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น

จะเห็นได้ว่า สรรพคุณของวิตามินบีคอมเพล็กซ์สามารถช่วยลดและควบคุมคอเลสเตอรอลและไขมัน ซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจของผู้ป่วยโรคเบาหวานได้ ไม่เพียงเท่านั้น ยังช่วยเสริมสร้างภูมิชีวิต ซึ่งอาจารย์สาทิสย้ำว่า เป็นหัวใจของการต้านทานโรคร้ายไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย

นอกจากนี้ยังช่วยลดความเครียดอันเป็นตัวกระตุ้นชั้นเลิศให้อาการของผู้ป่วยเบาหวานกำเริบได้อีกด้วย

อาจารย์สาทิสแนะนำปริมาณของวิตามินบีคอมเพล็กซ์ที่ควรกินไว้ว่า สามารถทำได้ง่ายๆ เพียงกินอาหารตามสูตรชีวจิตก็จะได้รับวิตามินชนิดนี้อย่างครบถ้วน แต่หากใช้เป็นยา ต้องกินถึงวันละ 3,000 – 5,000 มิลลิกรัมเลยทีเดียว

 

วิตามิน B3 ต้านเบาหวาน

 

 

วิตามินบี3 หรือไนอะซิน (Niacin) ถูกวงการแพทย์มองข้ามความสำคัญมาเป็นเวลานานหลายสิบปี แต่ปัจจุบันได้รับความสนใจมากขึ้นในการนำมาต่อสู้กับภาวะคอเลสตอรอลในเลือดสูง

 

ประโยชน์

– ช่วยทำลายพิษหรือท็อกซินจากมลพิษแอลกอฮอล์ และยาเสพติด

– ช่วยให้อาการต่างๆของผู้ป่วยโรคเบาหวานดีขึ้น

– ช่วยในการสร้างอินซูลิน

– ลดคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์(ไขมันในเลือดและไขมันทั่วไป)

ปกติร่างกายเราจะสามารถสร้างวิตามินชนิดนี้ขึ้นมาเองได้ แต่หากขาดวิตามินบี1 บี2 และบี6 ก็ไม่สามารถสร้างบี3 ขึ้นมาได้ และเมื่อร่างกายขาดวิตามินตัวนี้ ก็จะทำให้การสร้างฮอร์โมนอินซูลินน้อยลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยเบาหวานอย่างมหาศาล

จะเห็นได้ว่า วิตามินบี3 มีผลกระทบโดยตรงต่ออาการของโรคเบาหวาน จึงจัดเป็นวิตามินสำคัญที่ผู้ป่วยเบาหวานขาดไม่ได้ โดย นายแพทย์เชลดอน  ซอล  เฮ็นเลอร์  กรรมการที่ปรึกษาของ Board of Medical Advisers ของอังกฤษเห็นควรว่า สามารถกินวิตามินบี3 เสริมได้ตั้งแต่วันละ 100 – 2,000 มิลลิกรัม

การกินวิตามินบี3 ชนิดเม็ดตั้งแต่ 500 มิลลิกรัมขึ้นไป จะรู้สึกร้อนผ่าวที่หน้าและคันตามตัวและหากกินยาปฏิชีวนะอยู่ด้วย อาการร้อนหน้าและคันจะมีมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนไม่มีอันตรายใดๆ รอสักครึ่งชั่วโมงอาการก็จะหายไปเอง หรือให้ลองอาบน้ำเย็นๆก็จะช่วยได้

อย่างไรก็ตาม ข้อควรระวังในการกินวิตามินบี3 คือ วิตามินชนิดนี้มีศัตรูตัวฉกาจ ได้แก่ เหล้า แอลกอฮอล์ ยากันบูดในอาหารทุกชนิด ยาซัลฟา ยานอนหลับ และฮอร์โมนเอสโทรเจน จึงควรหลีกเลี่ยงปัจจัยเหล่านี้ขณะกินวิตามิน วิตามินบี3 สามารถหาได้จากข้าวทุกชนิดที่ไม่ขัดขาว

อาทิ จมูกข้าว รวมถึงรำ ยีสต์ ถั่วลิสง อะโวคาโด มะเดื่อ ลูกพรุน อินทผลัม มันฝรั่ง ใบยอ และเนื้อปลา

 

 

 

 

วิตามิน B6 ต้านเบาหวาน

 


วิตามินบี6 หรือเรียกอีกชื่อว่าไพริดอกซีน (Pyridoxine) เป็นวิตามินที่มักใช้ร่วมกับบี1 และบี12 จะทำให้ได้ผลดียิ่งขึ้น โดยร่างกายต้องการวิตามินชนิดนี้ประมาณ 1.5 มิลลิกรัม

 

ประโยชน์

– ช่วยเปลี่ยนกรดแอมิโนให้เป็นวิตามินบี3 ซึ่งมีประโยชน์ในการบรรเทาอาการของโรคเบาหวาน

– ช่วยให้ร่างกายมีภูมิต้านทานแอนติบอดีและช่วยสร้างเซลล์เม็ดเลือด

– ลดคอเลสเตอรอลในเลือด

– ช่วยเผาผลาญแป้งและน้ำตาล

– ช่วยย่อยโปรตีนและไขมัน

– ช่วยขับปัสสาวะ ซึ่งเป็นอีกทางที่ช่วยขับน้ำตาลส่วนเกินออกจากร่างกายได้เป็นอย่างดี

สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ควรกินวิตามินบี6 เพื่อปรับอัตราการใช้อินซูลินให้ได้ตามสัดส่วนของน้ำตาลในเลือด และควรกินวิตามินบี6 ควบคู่ไปกับบี3 จะเกิดประโยชน์สูงสุดในการป้องกันโรคเบาหวาน วิตามินชนิดนี้สามารถพบได้ในรำข้าว จมูกข้าว แคนตาลูป กะหล่ำปลี ข้าวโพด และยีสต์

 

 

 

วิตามิน E ต้านเบาหวาน


วิตามินอี(Tocopherol) เป็นวิตามินที่ช่วยในการทำงานของระบบต่างๆในร่างกายหลายระบบ จึงถือเป็นวิตามินตัวสำคัญที่สุดที่ร่างกายจะขาดไม่ได้เลย และเป็นแอนติออกซิแดนต์ ช่วยให้เซลล์ต่างๆรอดอันตรายจากท็อกซินได้อีกด้วย

 

ประโยชน์

– หน้าที่สำคัญที่สุดคือ เป็นแอนติออกซิแดนต์ ทำให้เกิดการเผาผลาญ (Oxidation) โดยมีออกซิเจนเป็นตัวการสำคัญ ทำให้ร่างกายเผาผลาญได้ดียิ่งขึ้น

– เป็นตัวช่วยไขกระดูกในการสร้างเลือด ช่วยขยายเส้นเลือด ต้านการแข็งตัวของเลือด และลดความสามารถในการจับตัวเป็นลิ่มเลือด จึงทำให้เลือดไหลเวียนในร่างกายได้ดี

– บำรุงตับซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับเลือดมากมาย

– ช่วยให้ระบบสืบพันธุ์ เซลล์ประสาท และกล้ามเนื้อทำงานได้ตามปกติ

– ช่วยให้ปอดทำงานได้ดีขึ้น ไม่อ่อนเพลียง่าย
จะเห็นได้ว่า วิตามินอีนั้นมีคุณสมบัติในการช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญในร่างกาย ซึ่งมีผลต่อการควบคุมน้ำตาลโดยตรง ทั้งยังส่งผลต่อระบบการทำงานอื่นๆในร่างกายด้วย จึงเป็นวิตามินอีกชนิดหนึ่งที่ผู้ป่วยควรกินเป็นประจำ

วิตามินอีนั้นเป็นวิตามินประเภทน้ำมันหรือละลายในไขมัน โดยร่างกายจะเก็บไว้ในตับ ไขมัน หัวใจ กล้ามเนื้อ ลูกอัณฑะ มดลูก โลหิต ต่อมอะดรีนัล และต่อมพิทูอิทารี มีรูปแบบของ น้ำมันแตกต่างกันถึง 7 ประเภท แต่ที่ได้ชื่อว่ามีคุณภาพสูงสุดในด้านความเป็นอาหารและยาคือ ประเภทแอลฟา (Alpha Tocopherol) ซึ่งสกัดจากน้ำมันพืช เมล็ดพืช ถั่ว ถั่วเหลือง จมูกข้าว

 

 

อย่างไรก็ตาม วิตามินอีจะถูกทำลายได้ด้วยความร้อน ออกซิเจน อากาศเย็น สารกันบูด ธาตุเหล็ก คลอรีน และน้ำมันจากโลหะ จึงควรหลีกเลี่ยงการเก็บวิตามินสกัดไว้ใกล้กับปัจจัยเหล่านี้ เพื่อป้องกันวิตามินเสื่อมสลาย และมี

 

ข้อควรระวัง คือ ไม่ควรกินในปริมาณที่มากเกินไป เพราะอาจเกิดความดันโลหิตสูงได้ โดยให้กินขนาดเม็ดละ 400 ไอยู วันละ 2 เม็ด เช้า – เย็น เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินอี ได้แก่ รำละเอียด ธัญพืช ข้าวโพด ถั่วแดง ถั่งเหลือง ผักกาดหอม เมล็ดทานตะวัน งา น้ำมันรำข้าว และน้ำมันถั่วลิสง

 

 

 

วิตามินไม่ใช่ยาวิเศษที่ใช้ทดแทนอาหาร แต่เป็นเพียงยาบำรุงที่ช่วยส่งเสริมการทำงานและภูมิชีวิตของร่างกายเท่านั้น 

ดังนั้น  การกินอาหารให้ครบ 5 หมู่จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะปกป้องร่างกายเราให้พ้นจากโรคภัยต่างๆได้

 

 

ขอขอบคุณรูปภาพจาก unsplash
ขอขอบคุณรูปภาพจาก pixels
ขอขอบคุณข้อมูลจาก goodlifeupdate