เทคนิคกินยืดอายุผู้ป่วยไตเรื้อรัง ให้แข็งแรง สดใส

เทคนิคกินยืดอายุผู้ป่วยไตเรื้อรัง ให้แข็งแรง สดใส

อาการโรคไต ระยะไหนก็ยืดอายุได้ด้วยการกิน

โรคไตเรื้อรังมี 5 ระยะ แบ่งออกตามประสิทธิภาพการทำงานที่เหลือของไต อาการโรคไต ระยะสุดท้ายคือระยะ 5 หรือเรียกว่า ระยะไตวาย โดยการทำงานของไตเหลือน้อยกว่า 15 เปอร์เซ็นต์ ผู้ป่วยต้องเตรียม เข้ารับการล้างไต หรือผ่าตัดปลูกถ่ายไต

ก่อนที่จะป่วยถึงระยะสุดท้าย ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังสามารถยืดอายุไตได้ หากทำความเข้าใจว่า ไตไม่สามารถกำจัดของเสีย ขับน้ำและเกลือแร่ออกทางปัสสาวะได้ตามปกติ และหันมาปรับเปลี่ยนอาหารและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
อาหารถนอมไต เพื่อยืดอายุไตให้ทำงานไปได้นานๆ

 

• โปรตีนคุณภาพ

ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังจำเป็นต้องจำกัดปริมาณโปรตีน เพราะหลังจากโปรตีนผ่านกระบวนการย่อยและเผาผลาญแล้ว จะเกิดของเสียที่รอขับออกทางไต ยิ่งกินโปรตีนมาก ไตจะยิ่งทำงานหนักและเสื่อมเร็ว

แต่โปรตีนนับเป็นสารอาหารสำคัญที่ร่างกายต้องการเพื่อใช้ในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ทั้งเป็นส่วนประกอบของฮอร์โมนและกล้ามเนื้อ โปรตีนคุณภาพสำหรับผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังคือ โปรตีนที่มีส่วนประกอบของกรดแอมิโนจำเป็นครบถ้วน เช่น โปรตีนจากเนื้อปลา

 

รูปภาพจาก pixels

 

โดยปริมาณที่เหมาะสมแตกต่างกันตามความเสื่อมของไต หากเป็นโรคไตเรื้อรังระยะ 2 และ 3 ปริมาณโปรตีนที่ควรได้รับคือ 0.6 – 0.8 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม

ผู้ที่มีน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัมสามารถกินโปรตีนได้วันละ 30 – 40 กรัม (เนื้อสัตว์ที่ยังไม่ได้ปรุง 1 ขีด) หรือใน 1 มื้อสามารถกินเนื้อสัตว์สุก 2 ช้อนโต๊ะ ร่วมกับไข่ขาว 1 ฟอง

 

หากเป็นโรคไตเรื้อรังควรหลีกเลี่ยงโปรตีนจากถั่วและผลิตภัณฑ์จากถั่ว เพราะมีส่วนประกอบของฟอสฟอรัส ซึ่งไตไม่สามารถขับฟอสฟอรัสส่วนเกินออกจากร่างกายได้ ส่งผลให้เกิดการคั่งค้างภายในร่างกาย จนเกิดอาการคันตามตัวและเร่งให้กระดูกสลายเร็วขึ้น

 

รูปภาพจาก pixels

 

 • แป้งปลอดโปรตีนและไขมันดี

ต้องจำกัดปริมาณโปรตีน หากเลือกกินแป้งปลอดโปรตีน เช่น วุ้นเส้น ก๋วยเตี๋ยวเซี่ยงไฮ้ สาคู แป้งมัน แป้งข้าวโพด

 

รูปภาพจาก pixels

 

จะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับพลังงานจากอาหารโดยไม่เพิ่มภาระให้ไต ส่วนไขมันยังคงเป็นสารอาหารจำเป็นที่ให้พลังงานแก่ร่างกายและช่วยดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน ได้แก่ วิตามินเอ ดี อี และเค

ควรเลือกใช้ไขมันดีประกอบอาหาร เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว น้ำมันงา หลีกเลี่ยงน้ำมันปาล์ม เนย เนยเทียม เนยขาว มาการีน รวมถึงไขมันที่แฝงตัวอยู่ในหนังและเนื้อสัตว์ติดมัน

 

รูปภาพจาก pixels

 

•  ผักและผลไม้ที่มีโพแทสเซียมต่ำ

ผักและผลไม้ที่มีใยอาหารสูงจะช่วยป้องกันปัญหาท้องผูก ซึ่งอาจทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น และจะไปเร่งให้ไตเสื่อมเร็วขึ้น ผู้ป่วยจึงควรกินผักผลไม้เพิ่มขึ้น แต่หากป่วยเป็นโรคไตเรื้อรังระยะ 4 – 5 จะขับปัสสาวะได้น้อย เมื่อกินผักและผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูงจะทำให้ระดับโพแทสเซียมในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ หากไม่ควบคุมอาหาร อาจมีผลให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นอันตรายถึงชีวิตได้

ผักที่มีโพแทสเซียมต่ำ ได้แก่ แตงกวา แตงร้าน ฟักเขียว ฟักแม้ว บวบ มะระ มะเขือยาว มะละกอดิบ หอมหัวใหญ่กะหล่ำปลี ผักกาดแก้ว ผักกาดหอม พริกหวาน พริกหยวก สามารถกินผักดิบได้มื้อละ 1 ถ้วยตวง ผักสุกมื้อละ 1/2 ถ้วยตวง

รูปภาพจาก pixels

 

สำหรับผลไม้ ส่วนใหญ่มีโพแทสเซียมสูง ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ก่อนกิน ทั้งนี้ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่มีระดับโพแทสเซียมในเลือดปกติ ใน 1 วันสามารถกินผลไม้ได้อย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้

องุ่น 10 ผล สับปะรด 8 ชิ้นคำ ส้มเขียวหวาน 1 ผล ชมพู่ 2 ผล แตงโม 10 ชิ้นคำ ส้มโอ 3 กลีบ มังคุด 3 ผล เงาะ 4 ผล

 

• ดื่มน้ำแต่พอดี

ผู้ป่วยแต่ละรายดื่มน้ำได้มากน้อยแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพในการขับน้ำของไต ผู้ป่วยอาจได้รับคำแนะนำจากแพทย์ให้ตวงปริมาณปัสสาวะใน 24 ชั่วโมง เพื่อให้ทราบว่า ใน 1 วันร่างกายสามารถขับน้ำได้เท่าไร จากนั้นจึงคำนวณปริมาณน้ำที่ร่างกายขับออกทางปัสสาวะร่วมกับน้ำที่ขับออกจากร่างกายทางอื่น เช่น เหงื่อ ลมหายใจ

 

รูปภาพจาก pixels

 

ตัวอย่างเช่น ตวงปัสสาวะได้วันละประมาณ 1 ลิตร บวกกับน้ำที่ขับออกจากร่างกายทางระบบอื่นๆประมาณวันละครึ่งลิตร รวมเป็น 1.5 ลิตร คือปริมาณน้ำที่สามารถดื่มได้ใน 1 วัน
ทั้งนี้ต้องระวังอาหารที่มีน้ำมากร่วมด้วย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก ซุป และแกงต่างๆ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ขับปัสสาวะได้น้อย

นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป อาหารกระป๋อง อาหารหมักดอง อาหารปรุงสำเร็จ ซอสปรุงรสต่างๆ เพราะอาหารเหล่านี้มีปริมาณเกลือโซเดียมสูง ทำให้กระหายน้ำ ทั้งนี้ เกลือโซเดียมยังเพิ่มความดันโลหิตและเร่งให้ไตเสื่อมเร็วอีกด้วย

 

รูปภาพจาก pixels

 

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก goodlifeupdate
แหล่งที่มา ชีวจิต ฉบับที่ 21 January 2019