กินแป้ง กินหวาน มาก เอจีอี (AGEs) ย่อมาจาก
“แอดวานซ์ ไกลเคชั่น เอนด์ – โปรดักต์ส” (Advanced Glycation End-products)
ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาที่คาร์โบไฮเดรต รวมตัวกับโปรตีน เอจีอีเป็นส่วนเกินในร่างกายมนุษย์ สมัยก่อนนั้นไม่ค่อยมีเอจีอี ในร่างกาย เพราะเขากินอาหารธรรมชาติ
อย่างอาหารของมนุษย์ยุคหิน เรียกว่า “พาเลโอไลติก ไดเอต” (Paleolithic Diet) คือ การกินถั่ว กินเมล็ดพืช ซึ่งมีโปรตีนสูง คาร์โบไฮเดรตต่ำ รวมถึงคนยุคหินเขาก็เดินกัน ทั้งวัน แต่ชีวิตมนุษย์ปัจจุบันกลายพันธุ์มาเป็นมนุษย์นั่งหน้าคอมพ์ มนุษย์เล่นมือถือ นั่งทำงานใช้สมองมากกว่า เลยมีแนวโน้มสูงที่จะได้รับคาร์โบไฮเดรตเกิน
อีกทั้งคนยุคปัจจุบันนิยมกินของหวาน ดื่มเครื่องดื่มที่มีความหวาน ซึ่งเครื่องดื่มพวกนี้ ให้คิดว่าเป็นน้ำตาลไว้ก่อน แต่ความจริงแล้วน้ำตาลยังแตกตัวมาจากแป้งข้าวเจ้า เส้นก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน สปาเกตตี ได้อีก ของอร่อยล้วนแล้วแต่เป็นแป้งทั้งสิ้น ส่วนขนมของผู้หญิง ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เช่น โดนัท เค้ก ทุกอย่างเป็นแป้ง หรือจะดื่มกาแฟก็ต้องเติมน้ำตาล น้ำเชื่อม ไม่เติมก็ไม่อร่อย ผลไม้ที่ชอบก็ต้องมีน้ำตาลเยอะๆ โดยสรุปได้ว่า อาหารที่มีทั้งแป้ง และน้ำตาลมาจากคาร์โบไฮเดรต
พูดง่ายๆ ว่า มนุษย์ปัจจุบันมีแนวโน้มจะได้รับน้ำตาลเกิน
ในร่างกายของเรา เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว หรือเซลล์ของเราต้องการ น้ำตาลไปหล่อเลี้ยง แต่เมื่อน้ำตาลไปรวมกับโปรตีน จะทำให้เกิดเอจีอีขึ้นมา ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ร่างกายไม่ได้ต้องการ โดยสามารถวัดปริมาณเอจีอีได้จาก
เช็กอาหารเอจีอีสูง
อาหารที่มีเอจีอีสูงที่สุดคือ อาหารที่ผ่านความร้อนสูง เช่น สเต๊กเนื้อแดง พิซซ่าที่ต้องอบเตาร้อนด้วยอุณหภูมิสูงๆ ไก่ทอดที่ต้องใช้ความร้อนในการทอด เพื่อให้แป้งบางกรอบ เพราะฉะนั้นอาหารที่มีเอจีอีสูงคือ อาหารประเภททอดกรอบ ซึ่งอาจให้ความรู้สึกกรอบนอกนุ่มในก็จริง แต่ความอร่อยเหล่านี้เกิดจากกระบวนการ ให้ความร้อนสูงเกิน
อาหารอีกอย่างหนึ่งที่มีเอจีอีสูงคือ อาหารที่แช่แข็งไว้นาน แล้วนำกลับมาอุ่น ใหม่ หรือก็คืออาหารกล่องแช่แข็ง อาหารที่ผ่านกระบวนการมาค่อนข้างมาก จำเป็นต้องใส่สารกันบูดมากๆ เพื่อให้นำมาอุ่นร้อนได้อีกครั้ง เพราะฉะนั้น เราควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทนี้เช่นกัน
ส่วนอาหารที่เอจีอีต่ำคือ อาหารที่แทบจะดิบหรืออาหารที่ไม่ผ่านกระบวนการ อย่างในญี่ปุ่นเขามีงานวิจัยพบว่า อาหารที่มีเอจีอีน้อยสุดก็คือ ซูชิ ปลาดิบ แต่ เราก็ไม่ได้แนะนำให้กินปลาดิบกันมาก เพราะปลาดิบก็อาจจะสร้างปัญหาเรื่องพยาธิ
ดังนั้นอาหารมีเอจีอีที่เราแนะนำหมายถึงอาหารสด ถ้าจะกินผักก็ควรเป็น ผักสด และหลีกเลี่ยงอาหารปิ้งย่าง ผ่านความร้อนสูง ซึ่งเมื่อก่อนเราแค่คิดว่า อาหารปิ้งย่างทำให้เป็นมะเร็ง แต่ความจริงแล้วอาหารปิ้งย่างทำให้เกิดเอจีอี ซึ่งทำให้ แก่เร็วครับ.
เอจีอีมีผลร้ายอย่างไรบ้าง ขออธิบายว่า เมื่อเกิดขึ้นเยอะ ๆ แล้ว มันจะไปทำให้ เซลล์อื่นๆ กลายพันธุ์ไปด้วย และเกิดเป็นภาวะต่อเนื่อง เปรียบได้ว่า ถ้าคนไข้ มีเอจีอีเยอะก็ทำให้เซลล์มีโอกาสกลายพันธุ์และเสี่ยงเป็นมะเร็งง่ายขึ้น
จึงกล่าวได้ว่า เอจีอีสัมพันธ์กับร่างกายไป ทุกส่วน แม้กระทั่งรอยย่นบนใบหน้า เราจะเห็น ว่า บางคนหน้าเป็นตุ่มๆ นูนๆ ขึ้นมา หน้ามัน ไม่เรียบ มีแผลเป็น ความไม่เรียบของผิวเกิด จากผลิตภัณฑ์ในกระบวนการสร้างเอจีอีนั่นแหละ ถ้าจะให้เห็นภาพชัด ๆ ยิ่งขึ้นคือ สมมติเราเอา สเต๊กมาย่างไฟแรงมาก ผิวของเนื้อสเต๊กจะกลาย เป็นตะปุ่มตะป่ำขึ้นมา นั่นแหละคือการรวมตัวกัน ของสิ่งที่ร่างกายไม่ต้องการ
เอจีอีไม่ได้ทำให้หน้าแก่อย่างเดียว แต่มัน ยังทำให้เกิดปัญหาเส้นเลือดด้วย หากมีอาการ เหน็บชาที่ขา ตาเริ่มเสื่อม แสดงว่าเซลล์แก่แล้ว ถ้าเป็นผู้ป่วยเบาหวานอาจจะพบอาการแทรกซ้อน 3 อย่าง คือ เบาหวานขึ้นตา ลงไต ลงขา ปัญหา ทั้ง 3 อย่างนี้ก็เกี่ยวข้องกับเส้นเลือดเล็ก ๆ ด้วย นั่นเอง
คนเป็นเบาหวานจึงแก่เร็ว เรื่องนี้ชัดเจนเลย ว่าเป็นเพราะเอจีอีเยอะ ดังนั้นหากคุณสามารถ ลดเอจีอีลงได้ คุณจะไม่เสี่ยงโรคมะเร็งและ โรคอื่นๆ โดยเฉพาะผู้ป่วยเบาหวานก็จะไม่มี โรคแทรกซ้อนหรืออาจจะหายก็ได้
ดังนั้นการเลือกกินอาหารจึงสำคัญมาก แนะนำว่าเราควรกินอาหารที่มีค่าจีไอต่ำที่จะทำให้ ค่าเอจีอีในร่างกายไม่สูง
จาก คอลัมน์ ชีวจิต Anti-aging นิตยสารชีวจิต ฉบับ 474
ขอขอบคุณรูปภาพจาก unsplash
ขอขอบคุณรูปภาพจาก pixels
ขอขอบคุณข้อมูลจาก goodlifeupdate